พิเศษ

My First Blog Post

Be yourself; Everyone else is already taken.

— Oscar Wilde.

This is the first post on my new blog. I’m just getting this new blog going, so stay tuned for more. Subscribe below to get notified when I post new updates.

นโยบายที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ในต่างประเทศ

“นโยบายภาพยนตร์ในประเทศต่าง ๆ”
คอลัมน์มองอย่างวีระศักดิ์ จากโพสต์ทูเดย์
ฉบับวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ครับ

แล้วการประกาศปิดตัวลงของบริษัท จีทีเอช ก็ปลุก
ให้ผู้คนตั้งคำถามตามมาว่า อนาคตของหนังไทยจะ
เป็นอย่างไร

จีทีเอชไม่มีการนำเข้าหนังนอกมาฉายในไทย ต่าง
จากบริษัทสร้างหนังรายอื่น ๆ ในตลาด จีทีเอชสร้าง
หนังไทยอย่างเดียว เดิมพันของจีทีเอชจึงอยู่ที่การ
ตอบรับของแฟนหนังไทยล้วน ๆ วงการแฟนหนังไทย
จึงออกจะตื่นเต้น…กังวลว่าแล้วจากนี้ เราจะมีหนังไทย
สายตลาดระดับคุณภาพเหลืออยู่ประดับประเทศปีละ
สักกี่เรื่อง

ผมจึงขอขุดคุ้ยเอาข้อมูลที่กระทรวงการต่างประเทศ
ได้ขอให้สถานทูต สถานกงสุลไทยทั่วโลก ส่งข้อมูล
เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ประเทศต่าง ๆ เขามีให้แก่
อุตสาหกรรมหนังของบ้านเขามาให้ท่านผู้อ่านได้
พิจารณาเปรียบเทียบ (เว้นเกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ และ
ญี่ปุ่น เพราะเขียนได้อีกแยะ)

ประเทศแอฟริกาใต้ลดภาษี 35% สำหรับค่าใช้จ่าย
ที่ใช้สร้างหนังท้องถิ่น 6 ล้านแรนด์แรก (1 แรนด์ =
2.8 บาท) และลดภาษีอีก 25% สำหรับค่าใช้จ่าย
ที่เหลือ แปลว่า บริษัทสร้างหนังของประเทศนี้ได้
สิทธิเสียภาษีต่ำกว่ากิจการอื่นแน่ ๆ
มาเลเซียคืนเงินสดให้ 30% ของค่าใช้จ่ายในการ
ถ่ายทำหนังใหญ่ที่มีเงินลงทุนเกิน 2.5 ล้านริงกิต
มาเลเซีย แต่ถ้าทำหนังต่างประเทศต้องเป็นหนังใหญ่
ขนาด 5 ล้านริงกิตขึ้นไป

ยังครับ…ยังไม่พอ มาเลเซียให้สิทธิแก่บริษัทหนัง
มาเลย์ที่จะขอเงินจาก FINAS องค์การมหาชนของ
มาเลเซียอุดหนุนค่าทำการตลาดของหนังมาเลย์
หากได้เข้าฉายในโรงหนังขนาดใหญ่ได้ และหาก
หนังมาเลย์เรื่องไหนทำรายได้ทะลุ 2 ล้านริงกิต
แล้วก็จะให้มารับภาษีคืนไปอีก 5-10% (แต่ไม่เกิน
5 แสนริงกิต/เรื่อง) นอกจากนี้ FINAS ยังลงทุนซื้อ
อุปกรณ์และเครื่องใช้ในสตูดิโอที่มีราคาแพง ๆ มา
รวมไว้ เพื่อให้ผู้สร้างหนังมาเลย์สามารถเช่าไปใช้
ถ่ายทำหนังมาเลย์ได้ในราคาถูกๆ!

จีนแผ่นดินใหญ่ตั้งงบประมาณ 290 ล้านหยวน/ปี เพื่อ
ใช้อุดหนุนการสร้างหนังจีนคุณภาพ 217 เรื่อง และ
เตรียมอีก 100 ล้านหยวน เพื่อส่งเสริมการสร้างหนัง
ระดับพิเศษอีกปีละ 5-10 เรื่อง!

ประเทศไอซ์แลนด์คืนค่าใช้จ่าย 20-85% ให้กองถ่าย
ที่จดทะเบียนเป็นบริษัททำหนังในไอซ์แลนด์ ตามที่
กฎหมายไอซ์แลนด์ระบุไว้ โดยให้ไปรับเงินจาก
Icelandic Film Fund (บางส่วนเป็นเงินสนับสนุน
บางส่วนเป็นเงินสดคืนค่าใช้จ่ายในการสร้างหนัง
ไอซ์แลนด์)

ประเทศเช็ก (รีพับลิก) มีมาตรการ Czech Film
Industry Support Programme ให้บริษัทหนัง
ขอรับเงินสดคืนได้ 20% ของค่าใช้จ่ายในการสร้าง
(แต่ต้องไม่ใช่ค่าเดินทาง ค่าประชาสัมพันธ์ และค่า
การตลาด) ถ้าเป็นรายการทีวี สารคดี รัฐบาลคืนเงิน
ให้ 20% เมื่อแสดงค่าใช้จ่ายในประเทศเช็กว่าได้
ใช้จ่ายไปไม่น้อยกว่า 42 ล้านบาท แต่ถ้าไม่ใช่
สารคดีต้องเป็นรายการทีวีที่มีความยาวกว่า 70
นาที และใช้จ่ายในเช็กไม่น้อยกว่า 21 ล้านบาท จึง
ขอได้

อังกฤษมีมาตรการช่วยเหลือหนังอังกฤษเป็นเงินสด
อย่างน้อย 10% ของค่าสร้าง แต่ถ้าเป็นการสร้าง
แอนิเมชัน อังกฤษจะช่วยถึง 51% ของค่าใช้จ่ายใน
ด้านแอนิเมชัน ส่วนถ้าหนังอังกฤษเรื่องไหนถูกคัด
ไปฉาย ในเทศกาลต่างประเทศ อังกฤษจะสนับสนุน
ค่าที่พัก เดินทาง และค่าทำซับไตเติ้ลภาษาต่าง
ประเทศให้เลย ถ้าเป็นหนังวิดีโอ สารคดี หรือละคร
อังกฤษ ความยาวเกิน 30 นาที และค่าผลิตสูงเกิน
1 ล้านปอนด์/ชม. อังกฤษจะช่วยอุดหนุน 25% ของ
ค่าใช้จ่าย! (แต่ต้องไม่ใช่เกมโชว์ รายการข่าว ทีวี
หรือโฆษณาทีวีนะครับ)

รัสเซียมีงบสนับสนุนค่าสร้างหนังสูงถึง 70% ของค่า
ผลิต ถ้าหนังรัสเซียเรื่องนั้นมีคุณค่าทางวัฒนธรรม
อย่างสำคัญ ยังไม่นับการให้ใช้โรงถ่ายของรัฐในราคา
พิเศษ

ฝรั่งเศสกำหนดให้หนังฝรั่งเศสอาจได้รับคืนภาษีได้
30% ของค่าใช้จ่าย และมีเพดานอยู่ที่ 20 ล้านยูโร/
เรื่อง จากกระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศส ถ้าบริษัทหนัง
ฝรั่งเศสร่วมผลิตกับบริษัทต่างชาติที่ลงนามในความ
ตกลง UNESCO Convention on Protection &
Promotion of the Diversity of Cultural Expression
และมีค่าใช้จ่ายกว่า 50% เกิดในฝรั่งเศส หนังเรื่องนั้น
อาจได้รับเงินอุดหนุนจากกองทุนของกระทรวงการ
ต่างประเทศฝรั่งเศส อีกเรื่องละไม่เกิน 2.5 แสนยูโร/
เรื่อง

ออสเตรียให้เงินอุดหนุนหนังออสเตรียสูงสุด 25%
แต่ไม่เกิน 1.5 ล้านยูโร/เรื่อง หนังร่วมผลิตกับต่าง
ประเทศ ที่มีทุนฝ่ายออสเตรียร่วมด้วยเกิน 30% ขึ้นไป
ก็ขอได้ และเพื่อดึงดูดนักทำหนังจากต่างแดนให้ไป
อาศัยอยู่ในออสเตรีย ออสเตรียจะให้เงินอุดหนุน
หนังต่างประเทศในอัตราข้างต้นเมื่อผู้สร้าง ผู้กำกับ
เป็นผู้มีถิ่นพำนักในออสเตรียเกิน 3 ปี ส่วนในกรณี
เป็นรายการทีวียาวเกิน 23 นาที รัฐบาลออสเตรีย
โดย TV Fund Austria ก็สามารถให้ทุนอุดหนุน
ระหว่าง 20-30% ได้อีกด้วย

ประเทศกัมพูชา แม้ยังไม่มีกองทุนมาอุดหนุนให้คน
กัมพูชาสร้างหนัง แต่กัมพูชาประกาศงดเว้นค่าภาษี
นำเข้าเครื่องมืออุปกรณ์การถ่ายทำ และอุปกรณ์
ประกอบฉากทั้งหมด และมุ่งลดกฎระเบียบที่เกี่ยวกับ
การขออนุญาตถ่ายทำ เพื่อให้ไม่ยุ่งยากเท่าที่จะทำได้
อ่านถึงบรรทัดนี้…คุณผู้อ่านคิดว่า…เมืองไทยควรทำ
อะไรกับหนังไทยดีครับ…?

ภาพยนตร์ให้แรงบันดาลใจ

แน่นอนว่าการเลือกชมภาพยนตร์นั้นก็ตามแต่ความชอบของแต่ละบุคคล ทว่า หนังแนวดราม่าหรือหนังชีวิตที่มักจะมีตอนจบที่สวยงามหรือหม่นเศร้า กลับเป็นหนึ่งในแนวหนังที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหนก็ยังอยู่ในใจใครหลายคน ด้วยความโดดเด่นในบทและการแสดงของผู้แสดงที่ต้องเข้าถึงทุกตัวละคร และสาเหตุที่ผู้ชมตกหลุมรักหนังแนวนี้ ส่วนใหญ่มักพูดตรงกันว่าเมื่อดูจบมักจะได้แง่คิดหรือมุมมองที่ดีจากหนังไปไม่น้อย ในวันนี้เราจึงได้รวบรวม 10 ภาพยนตร์แนวดราม่าที่เมื่อดูจบแล้ว ไม่ใช่แค่ความประทับใจแต่คุณจะได้รับแง่คิดที่สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


1. Seabiscuit ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของม้าแข่งที่เกิดมาตัวเล็กมีตำหนิซึ่งในยุคนั้นไม่มีใครอยากจะรับไปเลี้ยง แต่แล้วก็มีชายหนุ่มรูปร่างผอม เล็ก ซึ่งตั้งใจรับเจ้าม้าตัวนี้ไปฝึกและเลี้ยงมันด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจให้มันกลายเป็นม้าแข่ง จากชายผู้ถูกตราหน้าเป็น Loser และม้าแข่งที่ไม่มีใครเอา ทั้งสองได้เรียนรู้ความพ่ายแพ้ร่วมกันและสามารถเปลี่ยนวิกฤตนั้นให้กลายมาเป็นโอกาสของชัยชนะได้ในที่สุด


2. Cinderella Man หนังบอกเล่าเรื่องราวของนักมวยในตำนาน ที่ขึ้นชกกี่ครั้งก็ชนะแทบทุกครั้ง จนเข้าสู่ช่วงบั้นปลายชีวิตนักมวยที่ไม่ได้มีโอกาสขึ้นสังเวียนบ่อยเหมือนเคย บวกกับพิษเศรษฐกิจตกต่ำที่ทำให้ชีวิตผกผันต้องรับจ้างทำงานทุกชนิด ตั้งแต่กรรมกรแบกหามไปจนถึงกรรมกรก่อสร้างเพื่อจะได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันหนึ่งความตกต่ำกลับฉุดให้เขาลุกขึ้นมาสู้อีกครั้งด้วยวิถีนักมวย เขาจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในฐานะนักมวยได้อย่างไร เป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจที่น่าติดตามทีเดียว


3. The Pursuit of Happiness เรื่องราวของเซลล์แมนที่ไม่ประสบความสำเร็จกับงานขายสักเท่าไรนัก จนเขาต้องตกอยู่ในสภาพคนไร้บ้านในคราบเซลล์แมน ลำพังแค่ตัวเองไม่เท่าไร แต่เขายังต้องเลี้ยงดูลูกน้อยอีกหนึ่งชีวิต และเขาได้เปลี่ยนความลำบากนี้ให้กลายเป็นแรงฮึดสู้และพยายามที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ จนวันนั้นก็มาถึงในที่สุด


4. The King’s Speech หนังดีอีกเรื่องที่ว่าด้วยการเอาชนะตัวเองของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ซึ่งมีโรคประจำตัวคืออาการพูดติดอ่าง แต่แล้วเมื่อถึงวันหนึ่งที่พระเจ้าจอร์จที่ 6 ต้องปาฐกถาครั้งสำคัญที่สุดเพื่อปลุกระดมคนทั้งชาติให้มีความหวังและพลังในการมีชีวิตอยู่ในช่วงสงคราม ทำให้พระองค์ต้องฝึกฝนทุกทางเพื่อเอาชนะอาการติดอ่างเมื่อต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนให้ได้


5. 50/50 เป็นเรื่องของชายหนุ่มที่ใส่ใจดูแลสุขภาพและร่างกายมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งก็ต้องพบว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งไขสันหลังและมีโอกาสรอดเพียงแค่ 50/50 เท่านั้น แต่แทนที่เขาจะท้อแท้กับชีวิตและใช้ชีวิตแบบคนสิ้นหวังรอความตาย เขากลับลุกขึ้นมาใช้ชีวิตแบบคนปกติ ไปปาร์ตี้ สนุกสนานกับเพื่อนๆ ใช้ชีวิตแบบไร้ข้อจำกัด และการใช้ชีวิตแบบเต็มร้อยนี่เองที่สร้างปาฏิหาริย์ทำให้เขามีชีวิตยืนยาวต่อไปได้


6. The Blind Side สร้างจากเรื่องของชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาในช่วงที่มีการเหยียดสีผิวรุนแรง ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นคนไร้บ้านไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าใส่ แต่แล้ววันหนึ่งก็มีครอบครัวที่ตั้งใจรับเขามาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งเขาก็ตั้งใจตอบแทนครอบครัวนี้ด้วยการประพฤติตนเป็นคนดีและเป็นนักกีฬาที่ดีที่สุดเพื่อให้สังคมเปิดใจยอมรับเขาให้ได้


7. The secret life of walter mitty หนังเรื่องนี้จะพาทุกคนไปเรียนรู้ชีวิตการทำงานของหนุ่มออฟฟิศที่วันๆเคยแต่ทำงานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล เพราะมันเปิดโอกาสให้เขาได้ออกไปเรียนรู้โลกที่กว้างใหญ่ ได้ไปทำสิ่งที่ไม่มีพนักงานออฟฟิศน้อยคนนักจะได้สัมผัส ซึ่งระหว่างทางนั้น ทำให้เขาได้ย้อนกลับไปทำอะไรสนุกๆเหมือนอย่างที่เขาเคยทำในวัยเด็กด้วย 


8. Up in The Air เรื่องราวของชายหนุ่มผู้ทำงานเป็นตัวแทนบริษัทแจ้งปลดพนักงาน ซึ่งทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วโลก โดยในแต่ละครั้งที่ทำหน้าที่เขาต้องรับมือกับอารมณ์เศร้าหรือความกราดเกรี้ยวของคนที่เขาถูกสั่งให้ไปเลิกจ้าง ขณะที่ตัดภาพมาในชีวิตจริงของตัวเขา ด้วยความที่เขาต้องเดินทางจึงประสบกับปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะก่อร่างสร้างสัมพันธ์กับใครสักคน แต่การเดินทางเพื่อทำหน้าที่บอกเรื่องที่หลายคนไม่อยากจะยอมรับมัน จะกลับกลายเป็นคำตอบในการใช้ชีวิตให้กับเขาได้ในที่สุด


9. Boyhood หนังบอกเล่าถึงการเลือกทิศทางเดินในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น จนถึงวัยผู้ใหญ่ รวมถึงสภาพแวดล้อม คนรอบตัว ทุกสิ่งล้วนมีผลต่อการหล่อหลอมและนำไปสู่วิถีชีวิตในอนาคตทั้งสิ้น หนังเรื่องนี้ดูเผินๆแล้วอาจเป็นดราม่าที่เรียบง่ายดูธรรมดา แต่หากศึกษาถึงสิ่งที่ผู้กำกับนำเสนอจะพบว่าต้องการสื่อถึงความพยายาม ความมุ่งมั่น ที่จะใช้ชีวิตเสาะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเองอยู่มากทีเดียว 


10. A Beautiful Mind เรื่องราวของชายผู้มีความสามารถในการคำนวณจนทำให้เขาเป็นนักวิชาการและครูผู้สอนคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับ แต่แล้วความอัจฉริยะและการหมกมุ่นอยู่กับสูตรคณิตศาสตร์ของเขากลับทำให้ชายผู้นี้กลายเป็นคนที่ติดอยู่ในโลกจินตนาการ จนทำให้เขาล้มป่วย พูดคุยกับเพื่อนที่ไม่มีตัวตนจริง กระทั่งสิ่งสำคัญที่ดึงเขากลับเข้ามาในโลกปัจจุบันและมีชีวิตที่ปกติได้อีกครั้งคือความเชื่อมั่นและกำลังใจจากครอบครัวนั่นเอง

ถ้าคุณกำลังมองหากำลังใจและพลังในการต่อสู้กับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ลองไปหาหนังดราม่า 10 เรื่องนี้มาดู แล้วคุณจะรู้ว่าาปัญหาบางอย่างก็เกิดขึ้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้วิธีที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปนั่นเอง

ออกแบบเว็บแบบนี้ด้วย WordPress.com
เริ่มต้น